สำนักสหปฏิบัติฯ

        การพร่ำบ่น แท้จริงมันแฝงไว้จากสาเหตุจากพฤติกรรมการเอาชนะ การตอบโต้ การต่อต้าน การไม่ยอมรับบุคคล หรือเหตุการณ์อันเกี่ยวเนื่องกับบุคคล และการโต้เถียงต่อสิ่งที่มากระทบแท้จริงมันเป็นกลไกตอบสนองต่อสิ่งที่มาคุกคามของมนุษย์ มันมักจะเกิดจากพฤติกรรมที่เราเรียนรู้มาในอดีตที่มีอยู่ ตั้งแต่เราเริ่มเรียนรู้ในวัยเด็ก ว่าถ้าใครมาว่าเรา หรือเขามาพูดหรือแสดง หรือทำหน้าตา ทำเสียงอย่างนั้นกับเรา แปลความหมายว่าหมายถึง ตัวเราไม่ได้เรื่อง เราจึงต้องประกาศ หรือแสดงให้เขารู้ว่ามันไม่จริง ถ้าพิจารณาให้ลึกลงไปมันเป็นเพียงเหตุการณ์ที่มีคนๆหนึ่งพูดกับเราเช่นนั้น แล้วเหตุการณ์นั้นมันจบไปแล้ว แต่เรากลับไปตีความว่าฉันไม่ได้เรื่อง แล้วเราก็ลากความรู้สึกว่าฉันมันไม่ได้เรื่องนั้น แบกติดตัวมาจนถึงปัจจุบัน แล้วแถมยังวางเผื่อไปถึงอนาคตแล้วด้วยซ้ำ เหมือนเป็นวัคซีนทีเดียว เรียกว่าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เราก็จะเป็นสัญญาหมายรู้จำได้ว่า นี่คือการตอกย้ำสิ่งเก่าที่เราตีความว่าฉันไม่ได้เรื่องเหมือนเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติตอบโต้ทันที เพื่อป้องกันรักษาความคิดของคุณความคิดที่ไม่มีตัวตน ทั้งหมดเป็นสิ่งที่คุณตีความ และปรุงแต่งขึ้นมา โดยคุณปล่อยให้ความคิดที่ว่า “คุณไม่ได้เรื่อง”ราวกับว่ามันเป็นความจริง ความจริงมีแต่เพียงเหตุการณ์ทางรูปที่ผ่านไปแล้ว ทั้งหมดคือปฏิกิริยาต่อต้านต่อสิ่งที่ไม่มีตัวตน ที่เราลากแบกติดตัวเรามา ตั้งแต่แรกเรียนรู้ฝังใจมาแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบัน หากเรายังแยกมันไม่ออก เราก็คงต่อแบกจินตนาการ แบกความคิดที่ไม่มีตัวตนนั้นให้เป็นทุกข์ต่อเราต่อไป แล้วมันก็จะส่งผลกระทบต่อทุกคนที่ใกล้ชิดกับเราต่อไป การตีความในอดีตครั้งเมื่อเรายังเด็กนั้นขอให้ทิ้งไว้ตรงนั้น เพราะมันไม่เป็นความจริง ไม่มีใครทำอะไร หรือพูดอะไรแล้วตอนนี้ ไม่มีคนใดในโลกที่ไม่มีจุดบกพร่องเลย ไม่มีคนที่ดีสมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง เพราะทุกคนมีทั้งจุดดีจุดเสีย แต่เรากับมองเหมือนมันเป็นเรื่องจริง เมื่อเราเห็นว่าทุกสิ่งคุณแต่งขึ้นทุกสิ่งในหัวคุณเกิดจากการตีความ เกิดจากการปรุงแต่งในมโนหรือในความคิดของคุณ มันไม่ใช่เรื่องจริง และคุณก็ปกป้องผลสรุปจากการตีความจากความหมายที่คุณแต่งขึ้นมา มานั่งเศร้านั่งคิดไปเองต่างๆนาๆ มันเป็นเรื่องทุกข์ทรามานในสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง ในความเป็นจริงมันไม่มีความหมายแล้ว  มันไม่มีตัวตนในโลกของความเป็นจริง มันเป็นจริงเฉพาะในภาษาเท่านั้น หากคุณพิจารณาให้ดี แล้วทิ้งมันได้ นั่นหมายถึงคุณจะไม่มีเหตุผลใดที่ต้องไปต่อต้านความคิดฟุ้งซ่านจากจินตนาการนั้น ไม่มีเหตุผลที่ต้องพร่ำบ่นเพราะทั้งหมดเราตีความขึ้นเอง มันไม่มีอะไรเลย  หากงานของเราไม่ดีจริงเราก็จะสามารถเปิดใจให้คนอื่นวิจารณ์ผลงานของคุณได้ โดยคุณที่สามารถยอมรับความคิดเห็นใหม่ๆ เมื่อคุณคิดใหม่ การตอบสนองในลักษณะการต่อต้านกับเหตุการณ์เดิมก็จะเปลี่ยนไป เราก็จะไม่บ่น ไม่เถียงอัตโนมัติเหมือนเช่นก่อน ใครจะพูดอะไรออกมาก็คือพลังงานเสียงที่ส่งออกมาหาเราแล้วสลายแปรรูปไปหมดแล้ว เราก็จะได้ผลลัพธ์จากการกระทำที่มีอิสระเรียกว่าพิจารณาตัดสินจากเหตุผลที่เป็นจริงเฉพาะสิ่งที่เป็นจริง ที่เป็นปัจจุบันเท่านั้น
  การที่คนอื่นบ่นเรามองอีกมุมหนึ่งว่า จริงๆแล้วสาเหตุคือเขามองเราว่าเราสามารถทำได้ดีกว่านั้น แต่แล้วเรากลับมีปฏิกิริยาสรุปอัตโนมัติตอบโต้เขาทันทีว่า เขาขี้บ่น หลายคนมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อต้านออกมาอย่างเห็นได้ชัด อย่างเร็วชนิดอัตโนมัติ เราต่างหากที่ถูก หรือไม่ก็เขาไม่น่า ทำอย่างนี้เลย ไม่น่าบ่นเราขนาดนั้นเลย ในโลกของความเป็นจริงไม่มีการบ่น มีแต่การพูดเปล่งเสียง บางคนมองว่าพ่อแม่ขี้บ่น ขี้บ่นมาตลอด 30 ปี หากเรามองในอีกมุมหนึ่ง สิ่งที่แม่ทำคือแม่เห็นว่าเราสามารถทำได้ดีกว่านั้นแม่จึงพูด แล้วพ่อแม่ก็พูดบอกเราอยู่เสมอ ว่าเราจะต้องทำได้ดีกว่านี้ แต่เรากลับไปมองแม่ในทางลบมาตลอด ทุกครั้งที่เรามักตอบโต้เขา เถียงเขา ต่อต้านเขา ซึ่งในวินาทีนั้นหมายถึง เราไม่มีความรักต่อเขา การที่เราได้เคยต่อต้านพ่อแม่มาในอดีต จะเป็นเรื่องติดค้างคาใจเรามาตลอดชีวิต เพราะในความรักที่เรามีต่อพ่อแม่ เราอาจมีบางประเด็นที่คุณผิดแล้วยังไม่เคยขอโทษ บางประเด็นที่คุณคิดว่าเขาผิดแต่คุณยังไม่ยอมให้อภัยเขา คุณก็จะติดค้างคาใจเช่นนี้ไปตลอดมาจนปัจจุบัน จริงๆพื้นที่ของการสมบูรณ์แบบต่อพ่อแม่ คือการสะสางสิ่งที่ติดค้างคาใจกับพ่อแม่ พื้นที่นี้คือพื้นที่ของการยอมรับ ยอมรับในสิ่งที่ท่านทำ และสิ่งที่ท่านไม่ได้ทำ ยอมรับในสิ่งที่ท่านเป็นและยอมรับในสิ่งที่ท่านไม่ได้เป็น ที่สำคัญคือการให้อภัย ไม่ใช่การจำนน แต่หมายถึงการปล่อยวาง และยอมสละสิทธิของเราที่จะกระทำการใดๆเพื่อไปแก้แค้น หรือไปแสดงปฏิกิริยาใดๆที่เป็นการต่อต้านทำร้ายจิตใจท่านเพื่อเป็นการตอบสนองพ่อแม่ เพราะถ้าหากเราไม่ยอมรับ สิ่งเหล่านี้ก็จะลากติดจิตใจคุณไปยังอนาคตด้วย บางครั้งเรายังไม่เคยขอบคุณพ่อแม่ ไม่เคยบอกรักพ่อแม่ ไม่เคยบอกเขาให้เขามีบทสรุปในชีวิตของความเป็นพ่อแม่ของเขาว่า ท่านทั้งสองได้ทำหน้าที่ของท่านได้สมบูรณ์แบบแล้ว ท่านได้ให้กำเนิดเรามา โดยที่ท่านไม่มีคู่มือเลี้ยงเราติดออกมาพร้อมกับตัวเราด้วย เขาเลี้ยงเรามาจนโตได้ด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย ความตั้งใจทุ่มเทที่มอบให้ เพราะหากเขาไม่เลี้ยงเราไม่คอยป้อนนม ป้อนอาหารป่านนี้เราคงตายไปแล้ว ให้คิดเสมอว่าแม่บ่นเพราะรัก  เพราะท่านอยากเห็นเราดีขึ้น ท่านเชื่อว่าเราสามารถทำได้ดีกว่านี้ พ่อแม่ไม่มีทางรู้มาก่อนว่าลูกของท่านคนนี้เกิดต้องเลี้ยงอย่างไร ลูกคนนี้จึงจะมีความสุข100%อีกทั้งท่านก็เป็นคนธรรมดาเหมือนเราเช่นกันความผิดพลาดต่างๆย่อมเกิดขึ้นได้ หากเราต้องการแก้แค้นพ่อแม่ให้ได้ วิธีที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดคือทำลายชีวิตของเราเองให้ย่อยยับไปต่อหน้าต่อตาพ่อแม่ นั่นคือการแก้แค้นต่อพ่อแม่ที่แท้จริง เป็นการแก้แค้นต่อคนที่เขารักเราได้ทรงประสิทธิภาพที่สุด การให้อภัยพ่อแม่ การสะสางสิ่งค้างคาใจกับพ่อแม่  การที่ได้มีโอกาสสร้งความเป็นไปได้ใหม่กับชีวิตใหม่กับพ่อและแม่ การได้พูดสะสางเรื่องค้างคาใจกับพ่อแม่ การบอกรักพ่อแม่ ขอบคุณพ่อแม่ว่าพ่อแม่ได้ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบแล้ว ความรู้สึกของพ่อแม่ก็ได้สมบูรณ์แบบแล้ว จากนี้ต่อไปชีวิตของเราและชีวิตพ่อแม่ก็จะมีความสุขหมดซึ่งสิ่งติดค้างคาใจและใช้การได้  คนบางคนเอาพ่อแม่ไว้บนหิ้ง แล้วไปเทียบกับพ่อแม่คนอื่น บ้างยกว่าพ่อแม่ฉันดีกว่าใคร บ้างตีความสรุปว่าพ่อแม่ผิด การกล่าวโทษพ่อแม่ว่าพ่อแม่ผิด หากเป็นเช่นนั้นแล้วเราจะเป็นคนสะอาดหรือดีสมบูรณ์ไปได้อย่างไร ถ้าพ่อแม่เราแตกหักพังสลายเราก็คงพังสลายไปด้วย ชีวิตเราจะสมบูรณ์แบบได้อย่างไร การได้สมบูรณ์แบบกับพ่อแม่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่จะให้ชีวิตของคุณเป็นอิสระจากสิ่งที่ติดค้างคาใจในชีวิตของเรากับพ่อแม่ พื้นที่ชีวิตใหม่นี้ก็จะเป็นพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยความรัก เป็นจุดเริ่มต้นของพื้นที่ชีวิตที่ใช้การได้