แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งใดที่เกิดจากความคิด หรือจินตนาการของเราแม้แต่เสียงที่เราได้ยิน เมื่อเกิดขึ้นมา ก็จะตั้งอยู่เพียงชั่วครู่ แล้วก็ดับไป ทุกสิ่งล้วนแต่ไม่มีตัวตน ไม่สามารถจับต้องได้ มนุษย์เป็นสัตว์ชั้นสูงมีสมองที่พัทนามากกว่าสัตว์อื่นใด มีศักย์ภาพในการจดจำ และสามารถเรียนรู้เหตุ รู้ผล รู้จดจำสิ่งใดอาจเป็นอันตราย สิ่งใดดูปลอดภัย ศักยภาพสมองมนุษย์สามรถจดจำความรู้ในหนังสือในห้องสมุดทั่วโลกได้ ที่สำคัญหลังจากรับรู้เรื่องราวต่างๆแล้วมนุษย์สามารถสร้างมโนสัญญา รับรู้ คิดจำ จำได้ หมายรู้ จนถึงรู้แจ้งแทงตลอด ในขั้นตอนตั้งแต่ คิดจำ จำได้หมายรู้ นั้นจะแตกต่างกันในแต่ละคนเพราะเป็นขั้นตอนที่เกิดจากการปรุงแต่งด้วยตัวของเราเองเป็นอย่างมาก การที่เราไปสรุปว่าคนนี้เป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้อย่างเบ็ดเสร็จ เผด็จการด้วยตัวเราเอง ด้วยความเห็นของเราเองในอดีต ซึ่งเกิดจากความคิดของเราเองคนเดียวมาสรุปมุมมองที่มีต่อคนๆนั้น ต่อของสิ่งนั้นในปัจจุบัน และอนาคต จึงทำให้การปฏิบัติของเราต่อคนๆนั้นยังคงเดิม นั่นคือเราก็จะได้ผลลัพธ์เหมือนเดิมอย่างแน่นอน เช่นเราเห็นแม่เรา หรือ ภรรยาเรา พูดมากเราก็รำคาญเราเลยสรุปไปว่าเขาเป็นคนขี้บ่น คราวหน้าถ้าเขาเริ่มที่จะพูดมากอีก(ผัสสะ) มโนสัญญาเราก็จะหมายรู้จำได้(สัญญา) ดึงความคิดเก่าๆ ดึงอารมณ์เก่าที่เป็นความรู้สึกที่ไม่พึงพอใจ(สังขาร)ออกมาได้ในทันที ความรู้สึกว่ารำคาญ จนไปจนถึงโกรธก็จะกลับมา(เวทนา) เหมือนกับว่าเขาเป็นอย่างนั้นตายตัวแล้ว ในความเป็นจริง ย่อมเป็นไปไม่ได้เพราะบทบาทของคนๆหนึ่งที่แสดงออกกับคนแต่ละคนนั้นแตกต่างกันได้ ทำให้คนอื่นเขาอาจมองผู้นั้นในมุมมองที่แตกต่างจากที่เรามอง เรามองเขาว่าไม่ดี แต่คนอื่นอาจมองว่าเขาดีแล้วก็ได้ การที่เราสรุปความคิดในเรื่องเก่าแล้วลลากมันจากอดีต มาใช้ในปัจจุบัน แถมยังเผือวางไว้ในอนาคตเรียบร้อยแล้วอย่างนั้น จะเป็นสิ่งที่ขัดขวางผลลัพธ์ใหม่จะกลายเป็นเรื่องติดค้างคาใจเราต่อผู้นั้น การส่งพลังของเราสู่เขาผู้นั้นก็จะไม่เต็มร้อย การที่เราสามรถมองเห็นเหตุปัจจัย ของเรื่องที่เราติดค้างคาใจ การทีเราเข้าใจแล้วว่ามันไม่มีตัวตน มันเป็นเพียวปฏิกริยาแห่งความคิดที่ปรุงแต่งขึ้น ก็ทิ้งมันไปเสีย นับแต่นี้ความเป็นไปได้ใหม่ของเรากับคนๆนั้นก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อมุมมองเปลี่ยน วิถีปฏิบัติต่อคนๆนั้นก็จะเปลี่ยน และแน่นอนผลลัพท์ก็จะเปลี่ยนด้วยเช่นกัน