การสร้างสมดุลของร่างกาย
เนื่องจากมนุษย์นั้นถือเป็นสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีคุณสมบัติต้องกินอาหารได้ หายใจได้ เจริญเติบโตได้ และสามารถสืบพันธุ์ได้ ถ้าคนเราไม่มีวิญญาณคือไม่มีตัวรู้และตัวรู้สึก เราก็คงไม่ต่างจากวัตถุทั่วๆไป ถึงเราจะมีเซลประสาทในสมองมากมาย แต่หากไม่มีวิญญาณมาสถิต หรือวิญญาณออกจากร่างไปย่อมไม่มีการเคลื่อนไหวของระบบไฟฟ้าอย่างเป็นระบบครบวงจรได้อย่างต่อเนื่อง การทำงานของระบบประสาท ระบบฮอร์โมนก็จะไม่สมบูรณ์ หากวิญญาณออกจากร่างไปอันเพราะกายเนื้อแตกทำให้รูปขันธ์เสียสมดุลวิญญาณก็คงต้องทิ้งสังขารเราก็คงต้องตายหรือไม่ก็ กลายเป็นเจ้าชาย เจ้าหญิงนิทรา ไม่สามารถรับรู้ใดๆได้อีก เหลือไว้แต่เพียงรูปขันธ์ ที่ทำงานตามเหตุปัจจัย การที่จะทำให้ร่างกายสมดุลเคมีได้นั้น ร่างกายต้องมีอาหารดีครบ ๕ หมู่ คือมีการเติมธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อยู่เสมอ เพื่อใช้เสริมสร้างส่วนต่างๆของร่างกาย ในปริมาณพอดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป หากทานมากไปหรือน้อยไปก็จะสามารถทำให้เกิดโรคต่างๆได้ อีกทั้งเรายังต้องมีสุขภาพจิตวิญญาณที่ดีด้วยประกอบกัน จิตที่ดีต้องทรงพลังงาน นิ่งและสงบเย็น เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามาปรับสมดุล ไม่ให้เกิดอนุมูลอิสระ หากจิตของเรามีกิเลสมาครอบงำคลื่นของจิตเราที่ส่งออกมาย่อมเป็นความถีที่ต่างจากจิตคนที่มีแต่เมตตา ถึงจิตจะเป็นคลื่นเหมือนกันแต่ก็ย่อมมีลักษณะของคลื่นที่ต่างกัน คลื่นกิเลส ตัณหานั้น เต็มไปด้วยความทะยานอยาก ร้อนแรง ไม่มีที่สิ้นสุด เดี๋ยวจิตก็ฟู เดี๋ยวจิตก็แฟบ แปรเปลี่ยนอยู่เสมอ จิตที่วุ่นวายไม่สงบนิ่ง จิตนั้นจะอ่อนกำลัง ส่วนจิตที่นิ่งเพ่งรวมเป็นหนึ่งจะทรงพลัง หากเป็นคนคิดมากก็ทุกข์มาก คอยคิดอยู่เสมอว่า ทำไมจึงไม่เป็นอย่างนั้น ทำไมเขาไม่ทำอย่างนี้ พอไม่พอใจก็ไม่มีสติหรือใช้สมองส่วนหน้ามากำกับดูแลปล่อยให้สมองส่วนกลางทำงานระดับอารมณ์ สัญชาตญาณ ทำงานอยู่ตลอดเวลา ฮอร์โมนที่เกิดจึงไม่เป็นฮอร์โมนที่ดี หลั่งออกมาทำร้ายเซลล์อยู่ตลอดเวลา ในขณะที่หากจิตนิ่งและเต็มเปี่ยมด้วยเมตตามุ่งแต่จะให้ จิตที่นิ่งจะทรงพลังงานซึ่งจะเห็นได้ชัดเมื่อเราเพ่งกำหนดสมาธิในองค์ฌาน ความเมตตาจะเพิ่มพลังงานที่สงบเย็นในตัวเรา เร่งการหลั่งของฮอร์โมนฝ่ายดี เช่นเอ็นโดรฟิน ทำให้สารอีเล็คโตไลท์ และสารสื่อประสาทต่างส่งสัญญาณวิ่งพล่านอย่างเป็นระบบ ตลอดจนธาตุเหล็กในเม็ดเลือดในร่างกายของเรารับพลังงานจากพลังจิตที่รวมเป็นหนึ่ง ฉายออกเป็นแสงออร่าเรืองรอง ส่งออกเป็นราศี รัศมี และรังสี ไปทั่วส่วนต่างๆของร่างกาย ในทุกๆเซล ในสภาวะเช่นนี้ อนุมูลอิสระจะถูกปรับสลายหายไป จึงไม่แปลกที่คนที่มีเมตตาสูงส่งจะสามารถปรับสภาวะที่ไม่สมดุลและปลอดจากโรคร้ายได้มาก กว่าคนที่มีแต่กิเลสตัณหาครอบงำ
การพัฒนาของจิตมนุษย์นั้นต่างจากสัตว์เพราะสัตว์ดำเนินชีวิตด้วยสัญชาตญาณดิบ แต่มนุษย์สามารถพัฒนาสัญชาตญาณดิบ(อารมณ์ดิบ) หากโลภ โกธร หลงมากเกินไปก็อันตรายเพราะเป็นพลังพิษ เราต้องพยายามพัฒนาสัญชาตญาณดิบต่อไปจนเป็นราคะจากราคะพัฒนาต่อไปเป็นเสน่หาและความใคร่ ค่อยๆพัฒนาให้มีราคาขึ้น แล้วพัฒนาต่อจนเป็นความรัก และพัฒนาให้สะอาดขึ้นสู่เมตตา ซึ่งจัดเป็นอยู่ใน ๑ ของบารมีพระพรหม พลังที่ได้จึงกลายเป็นอำนาจเทวฤทธิ์ ในอีกทางหนึ่งหากเราสามารถพัฒนาสันดานเถื่อน(ความอยากเถื่อนๆ) ไปเป็นโลภ แล้วพัฒนาต่อไปให้มองเห็นเป็นเพียงลาภ พัฒนาต่อจนเป็นฉันทะให้ก็เอา ไม่ให้ก็ไม่เอาไม่เป็นไร ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ตั้งใจมุ่งมั่นประกอบกิจตามหน้าที่ จัดเป็นสัตยาธิฐาน มุ่งมั่นในการทำการกิจต่างๆ สิ่งที่ได้กลับมาจะกลายเป็นอำนาจอิทธิฤทธิ์ เมื่อเรามีทั้งอิทธฤทธิ์และเทวฤทธิ์รวมกันก็จะกลายเป็นบุญฤิทธิ์ เมื่อปรับอำนาจทั้งสองสมดุลเมื่อสมดุลกันดีเราก็จะได้จิตระดับจิตรานุภาพ และหากพัฒนาต่อก็จะเป็นมโนยิธิ และสูงสุดสู่อภิญาญาณต่อไปาสูงส่งจะสามารถปรับสภาวะที่ไม่สมดุลและปลอดจากโรคร้ายได้มาก กว่าคนที่มีแต่กิเลสตัณหาครอบงำ