โดยพราหม์ชื่อ รามะ ธชะ ลักขณะ มันติ โภชะ สุมายะ สุทัตตะ และ โกณฑัญญะ ขณะนั้นพระอัญยาโกฑัญญะมีอายุน้อยที่สุดใน ๘คนเป็นผู้เดียวที่ยืนยันว่า พระองค์จะออกบวชเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน พราหม์ทั้ง ๗ทราบด้วยกาลว่าจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ทันพระองค์ตรัสรู้ จึงได้ไปสั่งลูกชายของตนว่า หากพระโอรสออกบวช ให้ตามไปบวชรับใช้ในสำนักพระศาสดาในอนาคต ซึ่งในอนาคตมีลูกชายพราหม์ ๔ คนจาก ๗ คนที่ยอมติดตามพระอัญญาโกฑัญญะไปหาพระพุทธองค์ เรียกชื่อว่า ปัญจวคีย์
พระเจ้าสุทโทนะยกมือไหว้เป็นครั้งที่สอง
ในพระราชพิธีวัปปมงคล(แรกนาขวัญ) เงาต้นหว้าไม่เคลื่อน ยังคงบังร่มแด่พระโอรสตลอดเวลา พระเจ้าสุทโทนะยกมือไหว้เป็นครั้งที่สอง
นิมิตรสร้างสระโบกขรณี
มีนิมิตรสร้างสระโบกขรณี ถวายมหาบุรุษให้ทรงเกษมสำราญ ทรงศึกษาศิลปวิทยาเข้าศึกษาในสำนักครู วิศวามิตร เรียน ไตรเพท ๓ได้แก่
๑. ฤคเวท
๒. ยชุรเวช
๓. สามเวท
ทรงเชี่ยวชาญศิลปศาสตร์ ๒๐ ประการ
พระเจ้าสุทโธทนะทรงให้สร้างปราสาท ๓ หลัง
๑. ปราสาท ๙ ชั้นชื่อ รัมมะ
๒. ปราสาท ๗ชั้นชื่อ สุรัมมะ
๓. ปราสาท ๕ชั้นชื่อ สุภะ
ครั้นอายุ ๑๖ทรงแสดงศิลปศาสตร์การธนูประจักษ์แก่พระประยูรญาติ และมหาชน กว่า ๘หมื่น เหล่าพระประยูรญาติชื่นชมในความสามารถที่เป็นเลิศ จึงมอบถวายลูกสาวของตน รวม ๔ หมื่นนาง แก่เจ้าชาย
พิธีราชาภิเษก
พระราชพิธีราชาภิเษกพระเจ้าสุทโธทนทรงแต่งตั้งพระนางพิมพา(ยโสธรา)เป็นพระอัครมเหสี พร้อมมีขัตติยนารีเป็นบริวาร ๔ หมื่น ทรงเกษมสำราญอยู่ในปราสาท ๓ หลังผลัดเปลี่ยนอยู่ตามฤดูกาล คือ
ฤดูร้อน ประทับที่ สุรมยะปรสารท
ฤดูหนาว ประทับที่ รมยะปรสารท
ฤดูฝน ประทับที่ สุขปราสาท