นิมิตก่อนตรัสรู้
นางสุชาดาซึ่งเกิดในเรือนของเสนานิกุฎมพี ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม อธิฐานกับต้นไทรไว้ ขอให้ได้แต่งงานกับคนที่มีสกุลที่มีชาติเสมอกัน และได้บุตรชายในครรภ์แรกเมื่อได้สมดั่งคำอฐิฐาน นางจึงเตรียมหุงข้าวมธุปายาสถวายเทวดาที่ต้นไทร
นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส
ท้าวมหาพรหมร่วมกับนางสุชาดาหุง ข้าวมธุปายาสโดยนำน้ำนมโค จาก แม่โค ๑,๐๐๐
โดยน้ำนมจากแม่โค ๕๐๐ ตัวมาให้แม่โคอีก ๕๐๐ ตัวดื่ม
โดยน้ำนมจากแม่โค ๒๕๐ ตัวมาให้แม่โคอีก ๒๕๐ ตัวดื่ม
โดยน้ำนมจากแม่โค ๑๒๕ ตัวมาให้แม่โคอีก ๑๒๕ ตัวดื่ม
โดยน้ำนมจากแม่โค ๖๒ ตัวมาให้แม่โคอีก ๖๒ ตัวดื่ม
โดยน้ำนมจากแม่โค ๓๑ ตัวมาให้แม่โคอีก ๓๑ ตัวดื่ม
โดยน้ำนมจากแม่โค ๑๖ ตัวมาให้แม่โคอีก ๑๖ ตัวดื่ม
โดยน้ำนมจากแม่โค ๘ ตัวมาให้แม่โคอีก ๘ ตัวดื่ม
จึงนำน้ำนมจากแม่โค ๘ ตัวมาหุงข้าวมธุปายาส โดยมีฟองใหญ่ผุดขึ้นไหลวนเป็นทักขิณาวัฏ น้ำนมแม้จะแตกออกแต่ก็ไม่กระเด็นออก ควันไฟมีมากแต่ไม่ลอยออกไปจากควันไฟ ท้าวจาตุโลกบาลมาถืออารักขาที่เตาไฟ ท้าวมหาพรหมกั้นฉัตร ท้าวสักกะนำฟืนมาใส่ไฟ เทวดานำเอาดอกชะในทวีปใหญ่ทั้งสี่มาใส่ลงในภาชนะหุงข้าว(ทุกทีใส่ในคำข้าว)
นางสุชาดาเห็นลักษณะมหาบุรุษ คิดว่าเป็นรุกเทวดาจึงถวายข้าวมธุปายาส มหาบุรุษใต้ร่มไทรทรงเสวยข้าวมธุปายาส ๔๙ ก้อน ซึ่งสามารถให้พระองค์ไม่ต้องเสวยอาหารอีกได้ถึง ๔๙ วัน แล้วพระองค์ทรงลอยถาดอธิฐาน ณ.ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ทรงอธิฐานหากพระองค์จะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณให้ถาดจงลอยทวนน้ำขึ้นไป เช่นเดียวกันกับพระโพธิสัตว์ ทั้ง ๓ พระองค์ก่อน ถาดทองลอยทวนน้ำขึ้นไปไป ๘๐ ศอกแล้วจมลงซ้อนถาดกับพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ก่อนคือ
๑. พระพุทธเจ้า กกุสันโธ
๒. พระพุทธเจ้า โกนาคมน์
๓. พระพุทธเจ้า กัสสปะ
พญากาฬนาคราช ครั้นได้ยินเสียงถาดกระทบ ก็กล่าวว่าเมื่อวานพระพุทธเจ้าเกิดแล้วพระองค์หนึ่ง วันนี้บังเกิดขึ้นอีกพระองค์หนึ่ง จากนั้นทรงเสด็จออกจากป่าสาลวัน(ไม้รัง) มุ่งสู่ต้นมหาโพธิ์ชื่อ อัสสัตถะ ระหว่างทางพบคนตัดหญ้าชื่อโสตถิยะมอบหญ้าคาให้ ทรงอธิฐานหญ้าคา ๘ กำมือให้เป็นรัตนบัลลังก์แก้วใต้พระสรีมหาโพธิ์ โดยหันหน้าไปทางทิศบูรพาตั้งพระทัยบำเพ็ญเพียรจนบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแม้ชีวิตจะหาไม่ ทันใดบัลลังก์ ๑๔ ศอกก็ปรากฏขึ้น ทรงอธิฐานว่า เนื้อและเลือดในสรีระนี้ แม้จะเหือดแห้งไปหมดสิ้นเหลือแต่หนัง เอ็น กระดุก ก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่บรรลุ พระสัมมาสัมโพธิญาณตราบนั้นเราจะไม่ลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้
ผจญมารพระยามารเคลื่อนทัพมาทำร้าย
พระองค์ไม่หวั่นไหวต่อกองทัพมารทรงมีบารมี ๓๐ ทัศ ที่สะสมมาตลอด ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เป็นอาวุธต่อสู้หมู่มารแม่ธรณีบีบมวยผมหลั่งอุทกวารีที่พระองค์เคยหลั่งน้ำทักขิโนทกให้ตกลงเหนือปฐพีให้เห็นเป็นพยาน จนท่วมหมู่มาร จนพระยามารยอมจำนนและกล่าวสรรเสริญพระมหาบุรุษ
ทรงตรัสรู้
ในคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนวิสาขมาส (เดือน ๖)
1. ทรงบรรลุบุพเพนิวาสานุสติญาน ในปฐมยาม ย้อนไปจนถึงครั้งที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าใกล้พระบาทของพระพุทธเจ้านามว่าทีปังกร
2. ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ ในมัชฌิมยาม
3. ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ ในปัจฉิมยาม ทรงค้นพบว่าเหตุเพราะ
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม ( พิจราณาไปโดยลำดับ) &ปฏิโลม(พิจารณา ย้อนกลับ) ตลอดปฐมยาม ๗ วัน
อวิชาเกิดสังขารจึงเกิด
สังขารเกิดวิญญาณก็เกิด
วิญญาณเกิดนามรูปก็เกิด
นามรูปเป็นปัจจัยให้สฬายตนะ
สฬายตนะเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ
ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา
เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัญหา
ตัญหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน
อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ
ภพเป็นปัจจัยให้เกิดมีชาติ
ชาติเป็นปัจจัยให้เกิดมี ชรา โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และ อุปายาส
หากดับอวิชา กิเลสตัณหา ชาติภพก็จะยุติลงได้ในที่สุด
ทรงตรัสรู้อริยสัจย์ ๔ ประกาศความรู้ชัดปัจจัยในยามที่ ๑ ทรงเสวยวิมุตติสุขหลังตรัสรู้ ทรงเข้าสมาบัติอนุปุพพวิหาร ๙ อยู่จนครบ ๗ วันใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
ปฐมบรมพุทธภาษิต
“อาตมาได้ท่องเที่ยวอยู่ในชาติสงสารนี้เป็นเอกนกอนันต์ เสาะแสวงหางหานายช่างคือตัญหา ผู้ก่อสร้างเรือนคือ รูปนามจึงพบแต่ความทุกข์ทรมานชาติแล้วชาติเล่า บัดนี้อาตมาพบเจ้าแล้ว ดูก่อนนายช่างผู้สร้างเรือนคือตัญหา เราพบท่านแล้วท่านจะสร้างเรือนแก่เราไม่ได้อีกแล้วโครงสร้างเรือนของท่านเราหักเสียแล้ว ยอดเรือนคืออวิชชาเราก็กำจัดเสียแล้ว จิตของเราถึงวิสังขาร คือพระนิพพาน อันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้อีกแล้วเพราะเราบรรลุธรรม เป็นที่สิ้นตัญหาเสียแล้ว”
พุทธอุทานมัชฌิมยาม
ด้วยอำนาจพิจารณาพระนิพพานการบรรลุความสิ้นไปในยามที่ ๒ ด้วยอำนาจพิจารณามรรคเมื่อใด ธรรมทั้งหลายได้ปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสูญสิ้นไป เพราะได้รู้ความสิ้นไปของปัจจัยทั้งหลาย เมื่อใด ธรรมทั้งหลายได้ปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสูญสิ้นไป เพราะได้รู้ความสิ้นไปของปัจจัยทั้งหลาย
พุทธอุทานปัจฉิมยาม
ด้วยอำนาจพิจารณามรรคการบรรลุอริยมรรคในยามที่ ๓ เมื่อใด ธรรมทั้งหลายได้ปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นพราหมณ์นั้นย่อมกำจัดมาร และเสนามารเสียได้ ดุจอาทิตยือุทัยทำให้ท้องฟ้าสว่างฉะนั้น
ทรงเสวยวิมุตติสุข
ทรงเสวยวิมุตติสุข ๗ วัน ๗ หน รวม ๔๙ วัน
๑. ทรงเสวยวิมุตติสุขหลังตรัสรู้ ทรงเข้าสมาบัติอนุปุพพวิหาร ๙ อยู่จนครบ๗ วัน ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
๒. ทรงยืนพิจรณาต้นพระศรีมหาโพธิ์ทางทิศอีสานอยู่อีก ๗ วัน สถานที่นี้จึงมีนามว่า อนิมิสสเจดีย์
๓. ทรงเนรมิตสถานที่เพ่อเดินจงกรมทางทิศเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ อยู่อีก ๗ วัน สถานที่นี้จึงมีนามว่ารัตนจงกรมเจดีย์
๔. ทรงเนรมิตเรือนแก้วทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ แล้วประทับบนเรือนแก้วซึ่งประกอบพิจรณาด้วยสติปัฏฐาน ๔ อิทธิบาท ๔ รวมถึงพระวินัยปิฎก พรพสุตตันตปิฎก และอภิธรรมปิฎก บังเกิดมีรัศมีจากพระวรกายเป็น ๖ สี ทรงอยู่ที่นี่อีก ๗ วัน สถานที่นี้จึงมีนามว่า รัตนฆรเจดีย์
๕. ทรงเด็จไปทางทิศตะวันออกของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ประทับนั่งณ.ร่มไม้ อชปาลนิโครธ เสวยวิมุตติสุขอยู่อีก ๗ วัน
๖. ทรงเด็จไปทางทิศตะวันออกของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ประทับนั่งณ.ร่มไม้ มุจจรินทร์ เสวยวิมุตติสุขอยู่อีก ๗ วัน ซึ่งได้มีฝนฝอยปรอยโปรยไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน มุจจลินทร์นาคราช เป็นเจ้าใหญ่ในสระมุจจลินทร์ เนรมิตตนเป็นงูใหญ่ขนดล้อมพระโคดม ๗ ชั้นตั้งส่วนฐานขึ้นบังฝนตลอดทั้ง ๗ วัน
๗. ทรงเด็จไปทางทิศใต้ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ประทับนั่งณ.ร่มไม้ ราชายตนะ(ไม้เกตุ) เสวยวิมุตติสุขอยู่ อีก ๗ วัน
พญามารขีดเส้น ๑๖ เส้นแทนบารมีที่ตนไม่มี แต่พระองค์มี คือ บารมี ๑๐ ฯลฯ ธิดาพระยามาร : ราคา ตัณหา อรตี มายั่วยวนแก้แค้นแทนบิดามารแต่พ่ายแพ้กลับไป
ปฐมอุบาสกในพระพุทธศาสนา
๔๙ วันหลังอธิฐานลอยถาดทองคำ พ่อค้า ตปุสสะ ภัลลิกะ : ปฐมอุบาสกในพระพุทธศาสนา มา
ถวายข้าวสัตตุก้อน สัตตุผง พระโคดมให้เส้นพระเกศา ๘ เส้นมอบให้พ่อค้าทั้งสองไป