วิชา = ความรู้เลี้ยงชีวิต
วิชชา = รู้ความจริงของชีวิต
เหลิงในวิชา…. หลงในวิชชา…
คนฉลาดมีน้อยลง
คนอวดฉลาดมีมากขึ้น
ไง่แล้วอวดฉลาด ฉลาดแล้วแกล้งโง่
ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร
วิชา และวิชชา เป็นคำสองคำที่ออกเสียงใกล้เคียงกัน แต่ทว่า ความหมายนั้นมีความละเอียดลึกซึ้งต่างกัน เช่นเดียวกับความรู้ และความจริง ที่ดูเหมือนจะไม่ต่างกันในบางบริบท แต่ก็ไม่เหมือนกัน เพราะความรู้ และวิชาเกิดจากมนุษย์เป็นผู้ตกลงกันขึ้นมาเพื่อการนำธรรมชาติมาใช้สอยอยู่บนกรอบทิศทางความเข้าใจเดียวกัน มีตัวชี้วัด มีเกณฑ์เพื่ออยู่ในสังคม และวัฒนธรรมอย่างมีระเบียบแบบแผนตามแบบของมนุษย์ได้ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ความหมายตามความจริงในธรรมชาติทั้งหมด ถ้าเรารู้ความรู้ที่เป็นวิชา ก็สามารถใช้ชีวิตในสังคมที่มีแบบแผนและระเบียบได้ ซึ่งฟังดูก็น่าจะเพียงพอ แต่ในความซับซ้อนของธรรมชาติที่มีมนุษย์ขึ้นมาบนโลก มนุษย์สร้างวิชามาใช้เลี้ยงชึวิต และยังนำธรรมชาติมาใช้เพื่อสนองการใช้เลี้ยงชีวิตของตนให้เกิดความสะดวก สบาย รวดเร็วตามความต้องการที่ดูเหมือนจะไม่เห็นขอบเขต แล้วธรรมชาติจะดำรงอยู่อย่างไร เมื่อมนุษย์นั้นนำมาใช้ ใช้ แล้วก็ใช้ พร้อมกับทิ้งสิ่งที่ดูไม่เป็นประโยชน์กับตนไว้มากมายบนไหล่ของธรรมชาติ มนุษย์ผู้เป็นสัตว์พิเศษ และวิเศษที่มีความสามารถในการเข้าถึงวิชชา เพื่อการดำรงอยู่ร่วมธรรมชาติแบบกลมกลืน เพื่อดูแลรักษาธรรมชาติทั้งที่เป็นรูป และนามไปจนถึงส่งต่อ ให้ดำรงอยู่อย่างเหมาะสมตามกาลเวลาของโลก ไม่ให้ผุพัง แหลกสลายไปก่อนเวลาอันควร ฉะนั้นการเข้าถึงวิชชาจึงเป็นหนึ่งในหน้าที่ของมนุษย์ที่อยู่บนโลก ใช้และพิทักษ์รักษาธรรมชาติของโลก จะเข้าถึงมากหรือน้อยก็แล้วแต่ความพยายาม ขวนขวายของตัวบุคคล ถ้าเข้าถึงจุดสูงสุดก็เป็นอิสระจากอวิชชา หรือความไม่รู้ เสร็จหน้าที่ในฐานะมนุษย์ หรืออาจจะเป็นผู้ทิ้งพลังงานบริสุทธิ์ไว้ให้รุ่นหลังที่สามารถเข้าถึงวิชชา ส่งต่อให้เป็นผู้พิทักษ์ธรรมชาติ
การเรียนรู้ คิดค้นเกิดเป็นวิชาใหม่ๆ ทำให้เกิดสิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรม เทคโนโลยีต่างๆ ที่อำนวยความสะดวกสบายกว่ายุคก่อน ไปจนถึงการปรับแต่งรหัสพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอที่มีมาแต่เดิม เป็นข้อมูลดึกดำบรรพ์ที่ส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น เทคโนโลยีสมัยนี้ทำให้มนุษย์ทำสิ่งที่ในสมัยก่อนไม่สามารถทำได้ เป็นเหมือนเวทย์มนต์ดูจะเหลือเชื่อ และไม่น่าเชื่อว่า จะได้ใช้กันเป็นเรื่องปกติธรรมดา จึงยิ่งส่งเสริมให้วิชานั้นยิ่งใหญ่แทบจะเอาชนะธรรมชาติได้ในความรู้สึกของมนุษย์ แต่ความจริงของธรรมชาติมีมากกว่านั้น มากกว่าที่วิชาจะอธิบายได้ เมื่อความจริงของธรรมชาตินั้นเข้ามาแทรก ปะทะ ถาโถมเข้าใส่มนุษย์ให้งุนงง เป็นความพิศวง บางทีหัวคะมำ ล้มทั้งยืน ก็ชวนให้สงสัยว่า พลังอะไร เอามาใช้ยังไงให้สะดวก ง่าย รวดเร็วตอบสนองความต้องการให้มากขึ้นไปอีก ถ้าได้มาง่ายๆ ก็ยิ่งอยากได้ ยิ่งขึ้นไป จนหลงคิดว่า ของดี ของจริง ไม่ทันได้ตระหนักถึงเบื้องหลังที่มาว่า คืออะไร แค่เอามาใช้ ใช้ถูกใช้ผิด ก็ไม่สนใจจะทำความเข้าใจ พอได้ใช้ ใช้ง่าย ได้ดั่งใจ ก็เผลอลืมนึกถึงความจริงของธรรมชาติทำให้ลืมตัวเอง ลืมหน้าที่ของมนุษย์ว่า มนุษย์มีหน้าที่ต่อธรรมชาติอย่างไร ต้องเรียนรู้ธรรมชาติ ทำตามธรรมชาติของมนุษย์ที่สมกับฐานะของตนอย่างไร และรอรับผลอะไรจากการลงมือทำ ทั้งสิ่งดีและสิ่งไม่ดี มีอะไรรออยู่เบื้องหน้าของลมหายใจ คำตอบก็มาจากสิ่งที่เราลงมือทำต่อธรรมชาติไว้นั่นเอง
ฟ้าคราม