ตามหลักของพระพุทธศาสนา การกระทำและคำพูด ยังไม่ใช่กรรม เจตนาต่างหากที่เป็นตัวกรรม การกระทำและคำพูดเป็นเพียงเครื่องมือประกอบการทำกรรมเท่านั้น เรียกได้ว่ากรรมเป็นผลจากเจตนา ได้แก่กุศลกรรม และอกุศลกรรมโดยเป็นพลังกรรมที่มีอำนาจมาผสมผสาน กับกิเลส ตัณหา อุปาทาน ทั้งนี้ข้อมูลกรรมจะเก็บบันทึกไว้เป็นสัญญาในภวังคจิต ที่เรียกว่าวิบากกรรม ซึ่งจะเวียนกลับมาพบกันใหม่ในพรหมลิขิต เพื่อมาให้ชดใช้ หรือชดเชยกันตามกาลเวลา หากจะว่าไปแล้วอายุสังขารในชาตินี้ ๗๐-๑๐๐ ปี เมื่อเทียบกับอายุวิญญาณที่ผ่านมานับไม่ถ้วนชาติ ซึ่งเราอาจจะนับกันได้เป็นกัปทีเดียว จะเห็นได้ว่าอายุสังขารนั้นน้อยนิดเท่านั้น หากเทียบกับอายุของวิญญาณเรียกว่าเทียบกันไม่ได้เลย ถ้าหากว่าเราเกิดมาแล้วมาก่อกรรมทำเข็นจนต้องให้วิญญาณของเราต้องไปชดใช้กรรมอีกหลายภพหลายชาตินั้น เรียกได้ว่าไม่คุ้มกันเลยทีเดียว บางครั้งเราคิดว่าเราทำความดีมาตลอดชีวิต แต่ทำไมเรากลับรู้สึกว่าชีวิตเราช่างโชคร้าย หรือมักประสบปัญหาชีวิตมากกว่าคนอื่น บางคนถึงกลับโทษว่าโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม แท้จริงความยุติธรรมนั้นมีอยู่ แต่อยู่ในกฏแห่งกรรม เพียงแต่เราต่างหากที่ยังเข้าไม่ถึงในกฎแห่งกรรม ทั้งนี้เราต้องเข้าใจโลก เข้าใจมนุษย์ และต้องเข้าใจว่าคนบนโลกนี้ยังคงมีกิเลส และ ตัณหา ความยุติธรรมที่ถูกกำหนดหรือปฏิบัตินั้นก็กระทำโดยกลุ่มคนที่ยังมีกิเลส และ ตัณหา อยู่มาก การตัดสินความยุติธรรมในชีวิตที่ขึ้นกับมนุษย์บนโลก จึงย่อมมีการขาดตกบกพร่องได้บ้าง ดังนั้นเราจึงต้องทำใจตามสภาพโลก สภาพสังคมตามความเป็นจริง หากพิจารณาเปรียบเทียบกับเวรกรรมเก่าของเรา แล้วเราเข้าใจในกฏแห่งกรรมนั้นๆ เราจะก็จะพบกับความยุติธรรมของชีวิต และพบกับความยุติธรรมในกฏของวิญญาณที่แท้จริง