แล้วแปรรูปเกิดเป็นคันธัพพะในปฏิสนธิวิญญาณใหม่ทุกครั้งเมื่อจะมาเกิดใหม่ ซึมแทรกผสานอยู่ในวิญญาณของมนุษย์ปุถุชนทุกคนมาตั้งแต่เราเกิด ซึ่งเรียกว่าคันธัพพะ เมื่อเราโตขึ้นวิญญาณและคันธัพพะนี้ก็ยังคงคู่อยู่กับวิญญาณเราเรื่อยมา พื้นฐานจิตเราจึงมีสมาธิตามธรรมชาติเป็นพื้น มีความครื้นเครง ร่าเริงสนุกสนาน โดยคนธรรพ์จะวิ่งเข้าวิ่งออกในจิตวิญญาณอยู่ตลอดเวลา เราจึงควรฝึกการปฏิบัติธรรมหรือฝึกตัวรู้ให้เข้าใจ และเข้าถึงให้ได้ ยิ่งเรามีชาติภพมากเท่าใด เราก็ยิ่งเกี่ยวข้องกับคนธรรพ์รวมทั้งบริวารของคนธรรพ์มากมายหลายภาคเป็นเงาตามตัวมากขึ้นเท่านั้น เรียกว่าเป็นเทวดาในขันธ์ ๕ และเทวดานอกขันธ์ ๕ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเราในชาตินี้ ทั้งนี้เราอาจใช้ตัวรู้ตรงนี้อันเชิญทวดานอกขันธ์ ๕ ทุกภพชาติ ทุกภาค มาเข้าร่วมพิธีกรรมสำคัญ เพื่อการตอบโต้ตีกลับโดยใช้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือเทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์ในรหัสกรรม รหัสเวร ซึ่งการใช้พิธีกรรมนี้จะทำให้คลื่นคันธัพพะเกิดเป็นปาฏิหาริย์ ฉุดดึงนำพาวิญญาณเราที่ผสมกลมกลืนกันอย่างสนิทแล้ว ให้ก้าวไปสู่มหัศจรรย์พร้อมไปด้วยกันนั้นทำได้ เรียกว่าเป็นการนำรหัสกรรมหรือรหัสเวรในแต่ละกาลเวลามาปรับใช้ ยิ่งหากปัญญาเกิดมี ความเข้าใจในลักษณะรู้แจ้ง ที่เราเรียกว่ามีตัวรู้ ก็จะยิ่งเข้าไปเร่งปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นตรงจุดที่ปัญญารู้นั้นได้ ด้วยเหตุนี้ยิ่งถ้าเรารู้ลึกซึ้งในเรื่องของกรรมในส่วนเหนือสามัญวิสัย ปาฏิหาริย์ก็สามารถเกิดขึ้นได้ไม่ยาก แต่ปาฏิหาริย์ใดที่ปาฏิหาริย์ที่พระพุทธองค์ยกย่อง หากพิจารณาปาฏิหาริย์ ๓ อันได้แก่อิทธิปาฏิหาริย์ หรือปาฏิหาริย์จากการใช้ฤทธิ์ ,อาเทศนาปาฏิหาริย์ ก็คือปาฏิหาริย์ในการทายใจคนสู่เจโตปริยญาณอันสามารถล่วงรู้จิตใจกัน และสูงสุดของปาฏิหาริย์ที่พระพุทธองค์ทรงยกย่องคืออนุสาสนีปาฏิหาริย์ ได้แก่ปาฏิหาริย์ที่เราสามารถนำเอาหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปอธิบาย, เผยแพร่,ให้คำแนะนำหรือนำไปแก้ปัญหาให้กับผู้อื่น หรือสามารถสั่งสอนธรรมได้อย่างดีอย่างอัศจรรย์ นั่นคือเป็นการที่ทำให้คันธัพพะของเราเกิดเป็นทันคนขึ้นมาได้นั่นเอง