สำนักสหปฏิบัติฯ

                            
         เป็นเรื่องจริงที่ว่าคนที่มีความพิเศษข้างใน หรือคนที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยกำกับดูแลชีวิต ซึ่งอาจเป็นคุณหรือใครก็ได้โดยที่คุณอาจไม่รู้ตัว เราอาจเคยเป็นคนที่ให้คำมั่นสัญญากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนที่จะมาเกิดโดยที่เราไม่ทราบมาก่อน  เมื่อกาลเวลาที่กำหนดมาถึง เพื่อให้คนๆนั้นปฏิบัติตามสัญญากรรมที่ได้เคยสัญญาไว้ นั่นคือถึงเวลาที่กำหนดในกฏแห่งกรรม หากสัญญากรรมของใครยังไม่ถูกปฏิบัติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กำกับดูแลชีวิตเรา ที่เคยช่วยเรามาตลอดก็จะวางอุเบกขา และปล่อยให้เป็นกาลของเจ้ากรรมนายเวรของแต่ละคนแสดงออกบ้าง ทั้งทางด้านการงาน การเงิน สุขภาพ ครอบครัวและ ความรัก ซึ่งเรียกว่าชีวิตพบกับวิบัติหรือนั่นคือชีวิตต้องเผชิญกับครุกรรม เพราะฉะนั้นการเข้าถึงฐานแห่งกรรมในกรรมฐาน จึงมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เรารู้เท่าทันพรหมลิขิตของเรา บางคนป่วยเป็นโรคร้ายเสียชีวิตก่อนเวลาอันสมควร ที่เราเรียกว่าชะตาขาด ซึ่งแท้จริงแล้วคนๆนั้นยังสามารถแก้ไขต่ออายุได้ด้วยการแก้“ทางใน” โดยการบริหารกรรม  ยกเว้นคนที่หมดอายุไขย เรียกว่าจะต้องตายจริง ลักษณะนี้แก้ยังไงก็คงแก้ไม่ได้ ส่วนการแก้ครุกรรมหรือกรรมหนักนั้น  ทำได้โดยการเร่งปฏิบัติตน ตามสัญญากรรมโดยเร็วที่สุด  เราจำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่า สัญญากรรมของเราคืออะไร และจะต้องปฏิบัติให้ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  บางคนโชคดีได้ทำตามสัญญากรรมไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยก็มี  ชีวิตก็ประสบความสำเร็จ หรือผ่านพ้นได้โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวก็มี  ดังนั้นทุกคนจึงควรหันมาศึกษาทำความเข้าใจว่าต้องทำอย่างไร ชีวิตจึงจะปลอดภัย และก้าวไปสู่ความสำเร็จสูงสุดได้
              ชีวิตที่ต้องโต้คลื่นกับพลังกรรมนั้นขึ้นอยู่กับหลายเหตุปัจจัย  เช่น ขึ้นอยู่กับจำนวน และความซับซ้อนของภพชาติโดยรวมที่เราเกิดมา ยิ่งมีจำนวนและความซับซ้อนของภพชาติมากเท่าใด โอกาสที่ ชีวิตจะต้องโต้คลื่นพลังกรรมย่อมมีสูงกว่าคนอื่นมากขึ้นเท่านั้น  เพราะแต่ละคนทำบุญ และ ทำกรรมมาต่างกันและไม่เท่ากัน บุญกรรมทับถม ซับซ้อนกันชนิดที่เรียกว่านับไม่ถ้วนชาติ ชีวิตจึงมีเงื่อนงำหรือเงื่อนไข ในแต่ละช่วงของชีวิตต่างกัน ดังนั้นจึงทำให้พรหมลิขิตของช่วงเวลารับบุญ และบาป ของแต่ละคนยาวนานไม่เท่ากัน บางคนเรียกได้ว่ามีชีวิตเรี่ยราดอยู่กับพื้นดินยาวนาน บางคนชีวิตอยู่ในช่วงที่กำลังโต้คลื่นพลังกรรม และบางคนดูเหมือนชีวิตเขาติดจรวด ทำอะไรดูถูกต้องลงตัวไปเสียทุกอย่าง  สามารถผ่านอุปสรรคต่างๆในชีวิตไปได้โดยไม่ยากเย็นนัก  ปัญหาคือเราต้องรู้หลักการบริหารกรรม  เราจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าต้องบริหารกรรมอย่างไร จึงจะสามารถปรับเปลี่ยนชะตาชีวิตไปสู่ชีวิตติดจรวดได้ ดันั้นจึงขอเสนอ “วิธีการต่อสู้กับวิบากกรรม โดยเฉพาะวิธีต้านครุกรรม” ไว้โดยสังเขปดังนี้
             ๑.  ต้องเข้าใจกรรมการเกิด  นอกจากที่รู้กันทั่วไปว่าคนเราเกิดจาก ไข่ (Ovum) และอสุจิ (sperm) ผสมกันแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่รู้คือ จุติวิญญาณ ที่บันทึกกรรมเรามาทุกภพชาติ มารวมกันในเซลปฏิสนธิ จนสมบรูณ์เป็น ขันธ์ ๕ ซึ่งปฏิสนธิวิญญาณนี้ จะแฝงอยู่ใต้ภวังคจิตของเราตลอดเวลา อันเป็นต้นเหตุของปัญหาและวิบากกรรมต่างๆในชีวิต ซึ่งตรงนี้ระบุไว้ชัดเจนในพระไตรปิฎก
             ๒.  ต้องรู้จัก ชนกกรรม หรือสัญญากรรมที่ส่งเรามาเกิดว่าเราเกิดมาทำไม ที่ใด ในขณะเดียวกันก็จะต้องรู้ว่า เกิดมาแล้วต้องทำกิจใด สัญญาอะไรกับใครไว้อย่างไรก่อนจะมาเกิด และเราต้องทำงานบุญอะไรกับใครอย่างไร เท่าใดจึงจะถูกต้อง และตรงกับชนกกรรมหรือสัญญากรรมที่เราได้กระทำไว้  ต้องปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะตรงตามสัญญากรรม ชีวิตของเราจึงจะหลุดพ้นจากเงื่อนปมชีวิตที่สับสนและวุ่นวายได้
            ๓.  ต้องไม่ปล่อยชีวิตให้ดำเนินไปตามยถากรรม หรือปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมโดยไม่มีตัวรู้ หรือความเข้าใจในกลไกกรรม เพราะนั่นหมายถึงว่ากรรมอาจจะเล่นงานเราแบบที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว  ทั้งนี้อาจรวมไปถึงบุตรบริวาร ตลอดจนคนที่คุณรัก ซึ่งมีกรรมสัมพันธ์กับตัวคุณ อาจจะพลอยได้รับผลกระทบจากกฏแห่งกรรมไปด้วย
         ๔.  ต้องรู้ว่ากรรมจะแสดงออกตามกาลเวลา เมื่อเวลาของกฏแห่งกรรมยังมาไม่ถึง คุณก็ยังมีโอกาสบริหารจัดการกรรมของคุณได้ โดยที่เราต้องทราบว่า คนเรานอกจากต้องเก่งทั้งภายนอก หรือที่เราเรียกว่า “ศักยภาพ” แล้ว ขณะเดียวกันเรายังต้อง รู้จักพัฒนาจิตวิญญาณ หรือที่เรียกว่า “ศักยภาพในภายใน” ของเราให้ศักดิ์สิทธิ์ด้วย นั่นคือ “เก่งบวกเฮง” ชีวิตจึงจะเสริมกัน    
           ๕.  ต้องรู้วิธีบริหารกรรม ต้องรู้วิธี เล่นเกมกับกรรม รู้วิธีปฏิบัติตัวเมื่ออยู่ในเกมกลกรรมและ  ต้องรู้จักระดับความรุนแรงของกรรมแต่ละชนิด ว่ามีความรุนแรงในระดับใด ดังนี้
    ๕.๑  อาจิณณกรรมกรรมที่ทำจนชิน เป็นอาจิณ หรือทำจนเป็นนิสัย
    ๕.๒  อาสันนกรรมกรรมที่ทำก่อนตาย
    ๕.๓  กตัตตากรรม กรรมที่สักแต่ว่าทำ หรือทำด้วยเจตนาอันอ่อน
    ๕.๔  ครุกรรม   หมายถึงกรรมหนัก กรรมฝ่ายดี คือสมาบัติ ๘ กรรมฝ่ายบาป คืออนันตริยกรรม ๕ ส่วนใหญ่ ครุกรรม   มักใช้ในกรรมฝ่ายบาป
            ๖. ต้องรู้ว่ากรรมนั้นเบียดเบียนกันได้ บาปเบียดเบียนบุญได้ บุญก็เบียดเบียนบาปได้เช่นกัน เราจึงต้องรู้จักวิธีเปิดรหัสบุญหรือเปิดรหัสเวรที่เป็น“กรรมดี”  เพื่อนำไปเปลี่ยนแปลง “กรรมชั่ว”  ในแต่ละชนิดของกรรมนั้นๆ ในช่วงเวลาที่คลื่นกรรม และสัญญากรรมฝ่ายลบ (บาป) กำลังส่งผลแรง  เพื่อให้ ผลของ “กรรมดี” ไปผ่อนน้ำหนักของ “กรรมชั่ว” จากหนักเป็นเบา และจากเบาเป็นหมดสิ้นไปได้  บางครั้งต้องรู้ว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเกณฑ์แห่งเวรหรือช่วงทำบุญผ่อนหนี้กรรมหรือไม่ หรืออยู่ในระหว่างการปฏิบัติธรรมเพื่อชดใช้เวรกรรมให้น้อยลงไป หากคุณสามารถผ่อนกรรมขณะที่อยู่ในเกณฑ์แห่งเวร ได้มากกว่ากรรมที่คุณติดหนี้อยู่ในแต่ละเดือนแล้ว  ผลที่เราจะได้รับคือ ชีวิตที่เป็นมหัศจรรย์ย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ยาก นอกจากนี้ระดับของความสำเร็จในชีวิตนั้น เราสามารถวัดกันจากกติกาแห่งเทพได้อีก นั่นคือการวัดคุณภาพของจิตใจ ว่าเราสามารถพัฒนาจิตของเราให้เข้าสู่ความเมตตาในระดับอัปมัญญาพรหมได้หรือไม่  ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องพัฒนาตัวรู้แจ้งแทงตลอดทางวิญญาณ และรู้จักพัฒนาอารมณ์ตั้งแต่ระดับอารมณ์มนุษย์ ให้เข้าสู่อารมณ์ฌาน และ ญาณ จนถึงขั้นสูงสุดในระดับอภิญญาญาณ ซึ่งจะเป็นตัวเร่งในการเดินทางไปสู่ความสำเร็จได้เร็วขึ้น  
            ๗. การอฐิษฐาน บนไหว้ด้วยเครื่องเซ่นบูชา และการเข้าร่วมในพิธีกรรมต่างๆ อาจช่วยแก้ไขกรรมได้ในระดับกรรมทั่วๆไปเท่านั้น เช่น อาจิณณกรรม,อาสันนกรรม,กตัตตากรรม แต่สำหรับครุกรรมนั้นแก้ไม่ได้ทั้งหมด  การแก้ครุกรรมที่ถูกต้อง นั่นคือต้องใช้วิธีการปฏิบัติบูชา ซึ่งเป็นวิธีการที่ถูกต้องที่สุด เริ่มจากการพัฒนาจิตและพัฒนาระเบียบวินัยทางวิญญาณ ตลอดจนตัวรู้ของคุณให้สูงที่สุด เช่น มีความรัก ความเมตตาสูงถึงระดับอัปมัญญาพรหม คือรักได้เท่าเทียมกันทุกสรรพชีวิต ปฏิบัติตนกับคนรอบข้างได้ถูกต้องลงตัว สามารถพัฒนาความรู้ และพัฒนาจิตให้เข้าถึงจิตวิญญาณในระดับองค์ฌานและองค์ญาณ  เรียกว่าเป็นการพัฒนาจิตสู่ภารดรภาพ  นั่นคือต้องมีภูมิจิต ภูมิธรรม ภูมิปัญญา หรือมีคุณสมบัติหรืออุปนิสัยที่ถึงพร้อมต่อการบริหารกรรม เช่น มีพรหมวิหารธรรม ๔ มีความรักความเมตตาในทุกสรรพชีวิตเท่าเทียมกัน,มีอิทธิบาทธรรม ๔ เป็นการทำงานด้วยความพอใจพิจารณารอบคอบและบริสุทธิ์ใจ การเข้าถึงปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ และสัทธรรม อันหมายถึง ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ  พาหุสัจจะ  วิริยะ  สติ  สมาธิ  ปัญญา เนื่องจากคนที่มีภูมิจิต ภูมิธรรมสูงได้ในระดับหนึ่งแล้ว บุคคลเหล่านั้นจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ระดับมหาเทพเข้ามากำกับดูแลและคุ้มครอง ดังนั้นเราจึงมีความจำเป็นต้องเข้าถึงจักรธรรม ๔  อันได้แก่วงล้อธรรมที่นำชีวิตไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ดุจล้อนำรถไปสู่ที่หมายแห่งความสำเร็จ จักรธรรม ๔ในที่นี้หมายถึง
              ๗.๑ ปฎิรูปเทสวาสะอยู่ในถิ่นที่ดี มีสิ่งแวดล้อมเหมาะสม เช่นสถานที่ที่จรรโลงจิตใจ เช่น ศาสนสถาน สถานปฏิบัติธรรม หรือสถานที่สำคัญที่มีคลื่นกรรมหรือพลังปราณมาก  และตรงกับกรรมเก่าของเรา ในอดีตภพอดีตชาติ ก็ย่อมจะทำให้มีผลเกื้อหนุนชีวิตของเราได้มาก
               ๗.๒ สัปปุริสูปัสสยะ ได้สมาคมกับสัตตบุรุษ เช่นได้คบคนดี มีครูดี เพื่อนดี เป็นกัลยาณมิตร ในขณะเดียวกัน ถ้าเราได้มีโอกาสทำความสัมพันธ์ กับผู้ที่มีกงกรรมกงเกวียน กรรมเก่าเกี่ยวเก่ากับเราด้วยแล้ว ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีอย่างมากที่เราจะได้ใช้กรรมกัน ทำให้สามารถคลี่คลายเงื่อนปมชีวิตไปได้มาก นอกจากการพิจารณาสถานที่แล้ว  กลุ่มคนที่มาร่วมงานบุญ การปฏิบติธรรมก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน หากเราทำบุญ หรือไปร่วมงานบุญกับกลุ่มคนที่มีกรรมสัมพันธ์กับเรา นอกจากเราจะได้บุญอย่างเต็มที่แล้ว เรายังจะหลุดพ้นเงื่อนปมชีวิตในชาตินี้ได้อีกด้วย
 
 
              ๗.๓ อัตตสัมมาปณิธิ  เป็นการตั้งตนไว้ชอบ ตั้งจิต วางจิต วางความคิดและจุดมุ่งหมายของชีวิต เพื่อนำพาชีวิตของตนไปในทิศทางที่ถูกต้อง อันเป็นการตั้งความดีเตรียมพร้อมรอไว้ก่อน เช่น มีภูมิธรรม มีความคิดดี คิดชอบ มีความเพียรพยายาม มีจิตเมตตาและเจริญอยู่ในอารมณ์ธรรมตลอดเวลา คิดอะไรทำอะไรล้วนคิดแต่สิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล  ดังนั้นเมื่อเวลามาถึง โอกาสที่จะนำชีวิต ไปสู่การแก้ปัญหาชีวิตในกลไกกรรมให้สำเร็จย่อมเป็นไปได้โดยง่าย
           ๗.๔  ปุพเพกตปุญญตา  คือมีบุญเก่าหนุนนำ มีพื้นฐานเดิมที่ดี นั่นคือกราที่เราได้สร้างบุญเก่าไว้ดี ซึ่งอาจจะส่งผลของบุญมาในรูปอิทธิฤทธิ์ หรือเทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ได้อย่างสอดคล้องลงตัว ยิ่งถ้าเราได้มีโอกาสทำบุญ หรือมีธรรมารมณ์ร่วมกันกับคนที่มีกงเกวียนกรรมเกวียน กรรมเก่าเกี่ยวเก่า หรือมีบุพกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรา ตลอดจนคนที่เป็นบุพเพสันนิวาสในทางที่ดี  ดังที่ได้กล่าวข้างต้นแล้ว จะทำให้โอกาสที่บุญเก่าของเราที่สะสมไว้ สามารถที่จะส่งผลบุญกลับมาช่วยเราได้ไม่ยากนัก
           . ต้องรู้จักปฏิบัติเกณฑ์แห่งเวร หรือ การทำบุญให้ตรงกับหนี้กรรม และตรงกับชนกกรรม หรือปฏิบัติตามสัญญากรรมได้  ชีวิตจึงจะหลุดพ้นจากเงื่อนปมของชีวิตคนบางคนทำบุญมาทั้งชีวิต แต่ชีวิตไปไม่ถึงไหน เพราะเขาเหล่านั้นทำบุญไม่ตรงกับสัญญากรรม จึงได้แต่ผลของบุญเท่านั้น  แต่ไม่สามารถหลุดพ้นหนี้กรรมหรือเงื่อนไขของกลไกกรรมในชาตินี้ไปได้  เราจึงควรศึกษาให้รู้ว่าสัญญากรรมของคุณคืออะไร แล้วปฏิบัติตามสัญญากรรมนั้นๆให้ได้  หากการทำบุญนั้นเป็นสัญญากรรมของคุณ ก็ให้ อฐิษฐานเจาะจงการทำบุญนั้นๆ  และการทำกิจนี้ก็ต้องมีตัวรู้ ว่าบุญที่ทำนั้นเป็นบุญที่ตรงกับหนี้กรรมของคุณหรือไม่ และหากเราไม่สามารถทำชนกกรรมให้บรรลุได้ในทันที เราก็ควรที่จะอฐิษฐานในการทำบุญตามสัญญากรรมอย่างต่อเนื่อง เช่นทำทุกเดือน เพื่อเป็นการผ่อนสัญญากรรมไป หากต้องการที่จะต้านครุกรรมหรือกรรมหนัก  เราต้องทำบุญให้ตรงกับหนี้กรรม หรือปฏิบัติตามสัญญากรรมเท่านั้น หรือไม่ก็ต้องเป็นการทำมหาบุญ หรือมหาทาน ที่มีอานิสงค์สูง โดยเราจะต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเท่านั้น จึงจะต้านครุกรรมได้อย่างต่อเนื่อง เช่นสนับสนุนการให้ธรรมะเป็นทาน ช่วยงานการพระพุทธศาสนาอย่างสม่ำเสมอ การเป็นเจ้าภาพอุปสมบทพระภิกษุหรือบวชสามเณร  เป็นเจ้าภาพผ้าป่า หรือองค์กฐิน  สร้างพระอุโบสถ หรือสร้างพระประธาน รวมทั้งการเข้าพิธีบวชเนกขัมมะ เป็นต้น  ทั้งนี้เราต้องมีความเข้าใจในในเรื่องของการทำบุญ ไม่ทำบุญชนิดที่เรียกว่าสักแต่ว่าทำ ควรทำกิจต่างๆด้วยฉันทะ และปลอดกามฉันทะ คือไม่ทำบุญเพื่อหวังผลอันจะทำให้อานิสงค์ของบุญนั้นๆลดลง ในขณะเดียวกันจิตใจควรเป็นกลางมีเมตตา มีอุเบกขา และรู้เท่าทันตามความเป็นจริง
           ๙.  นอกจากนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงจะมาช่วยคุ้มครองคุณได้อีกหากคุณมีองค์ฌาน องค์ญาณที่สูง หรือไม่คุณก็ต้องอฐิษฐานเข้าสู่กติกาแห่งเทพ  แล้วพยายามผ่านกติกาของเทพให้ได้ โดยคุณต้องมีเมตตาและอุเบกขาที่สูง มีความรักระดับอัปมัญญาพรหม มีตัวรู้แจ้งแทงตลอดตามแต่ละสัญญากรรมของแต่ละคน โดยเฉพาะต้องมีความกตัญญูต่อสถาบันชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยความจริงใจ 
             เพราะทุกคนในโลกนี้เหมือนกัน ศาสนาทุกศาสนา ตลอดจนลัทธิต่างๆที่มีอยู่ และที่จะมีเพิ่มขึ้นอีกมากในอนาคตนั้น คนเรามาแบ่งแยกกันไปเอง  แท้ที่จริงแล้วเรื่องเหนือสามัญวิสัยเป็นธรรมชาติที่มีเหมือนกันทุกชาติพันธุ์ เราจึงต้องทำความเข้าใจในเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆว่าคือสิ่งใด และเราควรจะวางตัวอย่างไรกับสิ่งเหล่านั้น แต่ที่แน่ๆนั้น คือเราไม่ควรยึดติด หรืองมงาย แต่ต้องรู้ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆนั้นคือสิ่งใด เขาต้องการอะไรจากเรา แล้วจึงมาปรับให้ผสมกลมกลืนกับชีวิตเราได้อย่างเป็นธรรมชาติ พระพุทธศาสนาสอนให้เรายืนหยัดด้วยตัวเอง เพียงแต่ให้เราเข้าใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และวิธีวางตัวต่อสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง เจริญในพรหมวิหารธรรม  มีรักเดียวใจเดียว  ฝึกให้มีความรักแบบอัปมัญญาพรหมให้ได้มากที่สุด  ในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามตัดอารมณ์ โลภ โกรธ หลงออกไปให้หมด โดยเฉพาะอารมณ์พันทางต่างๆ เช่นความอิจฉา  ริษยา อาฆาต  พยาบาท อย่าให้มีเด็ดขาด เพราะถ้าเราอยู่ในช่วงชีวิตที่เรียกว่าชะตาตก  ชีวิตอาจจะต้องเผชิญกับวิบากกรรมได้  ดังนั้นเราควรที่จะฝึกการเจริญอิทธิบาทธรรมให้ปลอดกามฉันทะ  มีความกตัญญูกตเวทิตา รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะต้องรู้จักการให้ธรรมะเป็นทาน รู้จักแก้ และรู้จักใช้ รหัสกรรม รหัสเวร ในการเล่นเกมกลกรรม และรู้จักวิธีปฏิบัติตัว เมื่อกำลังเล่นอยู่ในเกมกลกรรม  ฝึกจิตจนเกิดเป็นตัวรู้แจ้งแทงตลอด และเมื่อเราทำได้ดังนี้แล้วโอกาสที่จะชนะเกมนั้นมีความเป็นไปได้สูง นั่นหมายถึงรางวัลชีวิตของคุณอยู่ไม่ไกล หากคุณแพ้เกมย่อมหมายถึงชะตาชีวิตอาจลำบากลำเค็ญนั่นคือ ชีวิตต้องดำเนินไปตามกฏแห่งกรรม     
               การให้สิ่งของจำเป็นกับผู้อื่นเช่น ของกิน ของใช้ แม้เป็นสิ่งของจำเป็น แต่ก็ยังเป็นการช่วยได้เพียงครั้งคราวในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น การช่วยที่แท้จริงต้องช่วยให้เขามีปัญญายืนหยัดได้ด้วยตัวเอง ทั้งการสร้างอาชีพทางกาย “ภายนอก” และทำให้เขามีปัญญา ฟันฝ่าวิบากกรรมของเขาให้ชีวิตเขาหลุดพ้นจาก “ทางใน” จึงจะเป็นการช่วยที่แท้ กล่าวคือหากคุณช่วย ถูกกิจ ถูกคน  ถูกกาล นอกจากคุณจะได้บุญแล้ว คุณยังหลุดเงื่อนปมจากปัญหาชีวิตในชาตินี้ได้อีกด้วย  หากคุณสามารถเข้าถึงฐานแห่งกรรมของคุณเอง ชีวิตคุณจะสว่าง มองเห็นทางเดินชีวิตของคุณได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าทางจะขรุขระบ้างแต่มันก็ยังสว่าง ยิ่งคุณกระจายปัญญาให้ตัวรู้ และความเข้าใจในเรื่องของการต่อสู้กับวิบากกรรมให้คนอื่นทราบด้วย และผลของความเข้าใจนั้นทำให้ชีวิตเขาสามารถอยู่รอดและสามารถฟันฝ่าวิบากกรรมของเขาไปได้ ย่อมเป็นการสร้างมหาบุญ และมหากุศลสำหรับตัวเราเป็นอย่างยิ่ง เป็นอริยทรัพย์ที่สามารถนำไปใช้ได้ในทุกชาติภพ ถึงคุณจะมีเงินแสนล้าน แต่ไม่รู้จักเปลี่ยนวัตถุทรัพย์ให้เป็นอริยทรัพย์  เมื่อคุณตายไปก็จะไม่สามารถนำวัตถุทรัพย์เหล่านั้น ติดตัวไปใช้ในชาติหน้าดังเช่นอริยทรัพย์ได้เลย
             ทั้งนี้ข้อ ๗- ๙ นั้นสำคัญที่สุดในขณะที่ครุกรรมกำลังส่งผล เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครจะชะตาขาด หรืออยู่ในช่วงเสวยบุญ  ช่วงชีวิตราบเรียบ หรือช่วงชีวิตลุ่มๆดอนๆก็ตาม  การได้ทำบุญและปฏิบัติกิจให้ตรงกับหนี้กรรมหรือสัญญากรรมนั้นๆ  การเรียนรู้พัฒนาจิตจนกระทั่งพัฒนาจนเกิดเป็นตัวรู้แจ้งแทงตลอด แล้วเผยแพร่ความรู้ในเรื่องเหล่านี้ให้ผู้อื่นเข้าใจและปฏิบัติตามได้ และเห็นผลของการปฏิบัตินั้นๆ นั่นคือการให้ธรรมะเป็นทาน และจะเป็นมหาทานไปช่วยต้านกรรมให้เขาและเราเองได้อย่างดี ทั้งในชาตินี้และในชาติหน้าต่อไปอีกด้วย