สำนักสหปฏิบัติฯ


            เมื่อคนเราเกิดมานับไม่ถ้วนชาติ เราคงต้องยอมรับว่าในอดีตชาตินั้น เราคงจะต้องมีคนที่เกี่ยวข้องกับเรามา ลึกซึ้งซับซ้อนไม่เท่ากัน  ซึ่งบางคนมีเงื่อนไขกรรมที่แตกต่างกัน คนที่มาแวดล้อมเราในชาตินี้อาจเคยเกิดเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน คนรัก ฯลฯ กับเรามาก่อนพอมาถึงชาตินี้ ในเบื้องต้นเราคงไม่ทราบว่าใครเคยเป็นใครมาก่อน หรือไม่ทราบเงื่อนปมเหล่านั้น  เราคงเคยก่อกรรมดี และกรรมชั่วเอาไว้โดยรวมแล้วนับไม่ถ้วนชาติทับถมกันอยู่มากมาย  เราคงต้องเคยแต่งงานและให้คำมั่นสัญญากับใคร ที่เราอาจจะเรียกได้ว่าเป็นเนื้อคู่ ซึ่งก็คงมีอยู่โดยรวมทุกชาติและคงจะมีอยู่หลายคนด้วยเช่นกัน  ดังนั้นเมื่อมาถึงชาตินี้ผู้เกี่ยวข้องกันและผู้ที่จะต้องมาพบกันในชาตินี้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องชดเชย ชดใช้กันและกัน ด้วยเบ้าหลอมของพรหมลิขิตใหม่ เพราะชาตินี้เรามีทั้งบุญและบาปที่เกี่ยวโยง เกี่ยวพันกับคนหลายคนและถูกดึงดูดให้มาพบกัน เราจะรับแต่บุญของเราไปอย่างเดียวโดยไม่ใช้กรรมที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นเลยย่อมเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้เบื้องต้นเราไม่สามารถรู้ได้ถึงกลไกกรรมหรือเหตุการณ์ในอนาคตว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่การรู้เท่าทันและการที่เราได้รับรู้ถึงกลไกกรรมย่อมจะเป็นการได้เปรียบซึ่งระดับความสัมพันธ์ในกลไกกรรมพอสรุปได้ดังนี้

              ๑.  กงเกวียนกำเกวียน กรรมเก่าเกี่ยวเก่า (เงื่อนธรรมดา)
             กงเกวียนกำเกวียน กรรมเก่าเกี่ยวเก่าที่เป็นลักษณะของกรรมสัมพันธ์ซึ่งเป็นการเกี่ยวข้องกันระหว่างผู้คน สัตว์ เทพ เทวดา ในลักษณะของการมีความเกี่ยวข้องที่ไม่ซับซ้อนมากนัก เงื่อนไขของการแก้ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยซับซ้อน ซึ่งเราอาจเรียกได้ว่าเป็น เงื่อนธรรมดา (แต่บางครั้งก็ไม่ค่อยจะธรรมดาแล้วแต่คน) การเคยทักทายช่วยเหลือกันกันเล็กๆน้อยๆ การทำงาน การที่เรามีกงเกวียนกำเกวียนกรรมเก่าเกี่ยวเก่าในลักษณะนี้ถือได้ว่าเป็นความสัมพันธ์พื้นฐานของกลไกกรรมในทุกระดับ

             ๒. บุพกรรม( เงื่อนไข )
            ได้แก่ บุคคลที่ต้องมาพบและจะต้องมีความสัมพันธ์กับเราในชาตินี้อย่างมี เงื่อนไข  ยกตัวอย่างเช่น บางคนจะต้องมีจิตใจที่ดีให้กัน บางคนจะต้องให้ความอุปถัมภ์เรื่องงาน หรือต้องทำงานร่วมกัน ถ้าเราสามารถเข้าใจและเข้าถึงเงื่อนไขนั้นๆ  เราก็จะสามารถปฏิบัติต่อบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเราในทิศทางที่ถูกต้องได้  ดังนั้นผู้ที่มีบุพกรรมกับเรา ก็จะมีกรรมสัมพันธ์ในลักษณะกงเกวียนกำเกวียน กรรมเก่าเกี่ยวเก่าด้วยเหมือนกัน

           ๓. บุพเพสันนิวาส  ( เงื่อนชักกระตุก )
             ได้แก่ บุคคลที่ต้องมาเป็นเนื้อคู่ หรือสัมพันธ์กับเราในชาตินี้เป็นพิเศษ เพื่อให้เกิดความลงตัว ถือเป็นกุญแจที่สำคัญมาก  ซึ่งเราสามารถเปรียบเทียบได้เท่ากับ “เงื่อนชักกระตุก”  เราอาจเคยมีความสัมพันธ์กับคนหลายคนหรือสัญญากับคนรักของเราว่าจะรักกันทุกชาติไว้ในอดีตชาติหลายชาติหลายสัญญา  มาถึงในชาตินี้เกิดเป็นบุพเพสันนิวาสซ้ำซ้อน คือเราอาจไปแต่งงานกับบุคคลที่เคยมีบุพกรรมกับเราก่อน แล้วเราถึงมาพบกับผู้ที่เป็นบุพเพสันนิวาสของเราทีหลัง หรืออาจพบคู่ที่เคยแต่งงานกันมาในอดีตชาติมากกว่า 1 คนในชาตินี้  แต่ลักษณะนี้จะถือเป็นข้ออ้างให้คนเรามีภรรยาหลายคนในชาตินี้ได้นั้นคงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะผิดหลักพระพุทธศาสนา เนื่องจากลักษณะความสัมพันธ์หลายคู่ครองเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมและสังคมไทย  ดังนั้นเราจึงต้องมีตัวรู้ และจำเป็นต้องศึกษาหาทางออกใหม่  โดยการปรับปรุงวิถีชีวิตและบริหารจัดการชีวิตใหม่ ให้สอดคล้องกับกรรมเก่าที่ได้เคยกระทำร่วมกันมา ถ้าเราพบกันผิดกาลหรือคลาดเวลากับผู้ที่มีบุพเพสันนิวาสซึ่งกันและกัน    แล้วเราไม่มีตัวรู้มาบริหาร หรือมาปรับปรุงสถานการณ์ให้สอดคล้องกันตามเงื่อนไข  จากรางวัลชีวิตที่เราสมควรจะได้รับ ก็อาจเปลี่ยนเป็นวิบากกรรมได้  ดังนั้นถ้า ซึ่งทำได้โดยการเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานหน่อยในการชดใช้ ก็ยังดีเสียกว่าผิดหลักศีลธรรม ผิดหลักทางโลก อันอาจก่อความเสียหายในชาตินี้มากเสียกว่าที่เราต้องใช้ให้เขาในชาตินี้เสียอีก

             ๔.   พรหมลิขิต (เงื่อนงำ)
           เรื่องพรหมลิขิต จะซับซ้อนยุ่งยากแค่ไหน  ขึ้นอยู่กับจำนวนภพชาติที่เราได้เกิดดับ และปริมาณบุญและบาปรวมที่เราได้ทำมา  การเข้าถึงฐานแห่งกรรมในกรรมฐาน จึงเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนาต่างๆให้คลี่คลาย  เมื่อเราทราบว่าใครเกี่ยวข้องกับเราด้วยเงื่อนไขใด เราก็จะสามารถปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นได้ถูกทิศทางและให้สอดคล้องกับเวรกรรมเก่าของเรา  ซึ่งเราอาจเรียกได้ว่าพรหมลิขิตนี้เป็น “เงื่อนงำ” ถือได้ว่าเป็นเงื่อนสำคัญอันหนึ่งของชีวิตที่เราต้องค้นหา หรืออาจถึงขั้นที่เราจะต้อง งมหา เงื่อนงำนั้นๆ  อันจะเป็นการคลี่คลายปัญหาต่างๆที่สำคัญในชะตาชีวิตของเราได้  ทั้งนี้เราสามารถบริหารพรหมลิขิตของเราเองได้ โดยนำบันได 3 ขั้นแรกของกลไกกรรมได้แก่  กงเกวียนกำเกวียน กรรมเก่าเกี่ยวเก่า บุพกรรม รวมทั้งบุพเพสันนิวาส มาบริหารจัดการใช้ในพรหมลิขิตใหม่ เพื่อที่เราจะก้าวไปสู่การได้รับรางวัลชีวิต หรืออาญากรรม ในทางตรงกันข้ามเราก็อาจจะไม่สามารถที่จะรับรางวัลชีวิต หรืออาญากรรมได้เลย ทั้งนี้ผลของพรหมลิขิตนั้น ขึ้นอยู่กับ ความสามารถในการบริหารจัดการของแต่ละคน

           ๕. กฎแห่งกรรม ( เงื่อนเวลา )
ดังคำที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า กาลเวลาผ่านไปไม่หวนกลับ สิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจะมาตามกาลเวลา ผ่านแล้วผ่านเลยไม่หวนกลับมาอีก หากยังไม่ถึงเวลา การแสดงออกของกรรมตามกฎแห่งกรรม ก็จะรอคอยวาระการแสดงออก ทั้งอำนาจบุญและบาปที่เคยได้กระทำมา

            ๖.  อาญากรรม หรือรางวัลชีวิต (เงื่อนตาย)
               เมื่อพิจารณากรรมหนักๆทั้งหมดที่เคยได้ทำมา ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว หากเรารวบรวมผลแห่งกรรมในชาตินี้ทั้งหมดแล้ว จะเห็นได้ว่ามากมาย  และเมื่อใครได้รับผลของบุญรวม แล้วอาจเรียกได้ว่าบุคคลผู้นี้ได้รับ “รางวัลชีวิต” เลยก็ว่าได้ แต่ในขณะเดียวกัน ในแง่ของบาปหนักโดยรวม ถ้าใครได้รับผลของบาปไป ชีวิตของบุคคลนั้นย่อมหนักหนาสาหัสหรือที่เราอาจกล่าวได้ว่าถูกลงทัณฑ์ด้วย “อาญากรรม” เลยทีเดียวก็ว่าได้  ทั้งนี้ปัญหาของทุกคนก็คือ คนเราทุกคนล้วนแล้วแต่มีทั้งอาญากรรมและรางวัลชีวิตด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ผลของ “รางวัลชีวิต”และ “อาญากรรม” ของแต่ละคนนั้นจะแตกต่างกัน ทั้งนี้ผลของกรรมนั้นๆขึ้นอยู่กับบุญกรรมของแต่ละคนที่ได้กระทำไว้ คำถามที่เราควรถามตัวเองอยู่ตลอดเวลานั้นก็คือ จุดหมายปลายทางของเราที่เราต้องการนั้นคืออะไร  อาญากรรมหรือรางวัลชีวิต และในขณะเดียวกัน จะทำอย่างไรชีวิตของเราจึงจะได้รางวัลชีวิตให้มากที่สุดและโดนอาญากรรมให้น้อยที่สุด      
               เมื่อสังคมถูกมอมเมา และกิเลสตัณหาถูกส่งเสริม ด้วยธุรกิจที่ไม่สนในจริยธรรม วัยรุ่นกลายเป็นเป้าหมายทางการตลาดที่ใหญ่ที่สุด การมอมเมาประชาชน ทำให้วัยรุ่นส่วนใหญ่ในปัจจุบันห่างจากตัวรู้ในหลักธรรมคำสั่งสอน และแนวทางการแก้ไขปัญหาชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนาที่แท้จริง  ในขณะเดียวกันคนที่หันมาสนใจศึกษาธรรมะในยุค IT หรือยุคอวกาศนี้ กลับถูกมองว่าเชย เมื่อขาดตัวรู้หรือครูผู้นำทางที่ดี จะทำให้ชีวิตคนเราในปัจจุบัน ขาดแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง ดังนั้นการส่งเสริมการปฏิบัติจิตให้เข้าถึงฐานแห่งกรรมจึงแทบจะไม่มีใครสนใจ  ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันเรามักจะรู้จักแต่การทำบุญด้วยการสร้างวัตถุกันโดยไม่หันมาสนใจศึกษาธรรมะ ตามแนวทางมรรค ๘, อริยะสัตย์ ๔ และการทำบุญตามบุญกริยาวัตถุ ๑๐ หรือการทำบุญให้ตรงกับหนี้กรรมเก่าที่เราได้กระทำไว้ในอดีตชาติ  การทำบุญที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้ แทบจะเปลี่ยนภาพพระพุทธศาสนาไปเลยก็ว่าได้ แท้จริงโอวาท ๓ ประการที่พระพุทธองค์ประสงค์และหวังให้ทุกคนปฏิบัตินั้นก็คือ “ทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส” ปราศจากกิเลส ตัณหา และ อุปาทานทั้งปวง เพื่อดำเนินชีวิตตามแนวทางของพระพุทธองค์ เพื่อเข้าสู่หนทางพระนิพพาน สัมมาสมาธิเป็นหนึ่งในปัจจัยมรรคมีองค์ ๘ ที่เราทุกคนพึงปฏิบัติ การศึกษาธรรมะและการให้ธรรมะเป็นทาน ถือเป็นทานสูงสุดในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นทานที่เหนือกว่าทานใดๆทั้งปวง แต่ทานที่ปฏิบัติได้ยากที่สุดนั้นคืออภัยทาน ในขณะเดียวกันวัยรุ่นที่สนใจธรรมะกลับถูกตำหนิว่าทำตัวเชย บ้างก็ว่าธรรมะนั้นไว้เรียนตอนแก่ก็ได้  จริงๆแล้วหากเราสามารถปฏิบัติกรรมฐานจนเข้าใจและเข้าถึงฐานแห่งกรรมได้  เราก็จะไม่พลาดเลือกเจ้ากรรมนายเวรมาแต่งงานด้วย หรือตัดสินใจแต่งงานกับบุพกรรมก่อนแล้วจึงมาพบบุพเพสันนิวาสทีหลัง ไม่ความเสน่ห์หากับเพศตรงข้ามไปหมด จนทำให้เกิดเป็นบุพเพสันนิวาสซ้ำซ้อน ก่อให้เกิดเป็นปัญหาชีวิตและปัญหาครอบครัวจนเกิดความวุ่นวายกันไปหมดเหมือนเช่นในสังคมปัจจุบัน การชดใช้สามารถแก้ด้วยการมีกิจกรรมต่างๆที่ต้องทำร่วมกัน โดยเฉพาะกิจกรรมสำคัญทางงานพระพุทธศาสนา เช่น ในการประกอบพิธีกรรมร่วมกันในคนหมู่มากอาจมีคนที่เคยมีกรรมสัมพันธ์กับเราในทุกระดับของกลไกกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเจ้าพิธี ถ้าบุคคลเหล่านั้น ที่มีกรรมเก่าเกี่ยวเก่ากับเราหรือผู้เข้าร่วมพิธีกับเรา ก็ยิ่งจะสามารถแก้ไข หรือชดใช้หนี้กรรมเก่าเกี่ยวเก่าในพิธีกรรมไปได้มาก การเรียนรู้เรื่องเหล่านี้และการมีจิตเมตตาให้อภัยและการอโหสิกรรมให้กับสรรพสัตว์ต่างๆในชาตินี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการลดความวุ่นวายซับซ้อนของพรหมลิขิตหรือเท่ากับเป็นการลดเงื่อนปมให้ตัวเองไปได้มากในอนาคต


Karma mechanism
 
          According to Buddhism, one human has been born in previous world for countless times. We have to admit that we have been related to many people in many ways like fortune’s wheel which has different level of complicated relationship. If we meet someone whom we met before again in this world, we hardly ever know that what the old relationship was in the previous world. As far as karma is concerned, we may have been making both good and bad deeds a lot. We may have been married and may have given promises with whom we call ‘Bupphesanniwat’ (state of being husband and wife in previous lives) who presented in every world we were born and could be more than one person. Accordingly, one who relates with another and has to meet again in this world, their new relationship is allied by new destiny influenced by old merit and sin. We can’t receive only good merit without taking the bad one we made with other people. Although we don’t know what is going to happen in the future, if we know about the karmic law, it will also help. The patterns of karmic law are as following:
1.      The wheel of fortune
“What goes around comes around”. The wheel of fortune is the karma related between human and human or, animals, angel, god and goddess. This karmic relation is not quite complicated as well as the way to solve it. It’s like “simple knot” (which sometimes it’s not quite simple). Greeting, working, doing activity together especially religious activity will help solving or redeeming old karma particularly when people in the activity in which you participate have old karma related to you. It will help a lot. This wheel of fortune is the basic association of all karmic mechanism.
2.      The condition (old deed)
it refers to the person that we have to meet and have to have some kind of relationship with him/her in this life conditionally. For example, one may be sent to be kind to another, may have to give help at work or have to work together. If we know the condition, we will be able to react to them in the right way. Those who have condition with us are also related with us by the wheel of fortune type as well.
3.      Bupphesanniwat
Bupphesanniwat is the state of being husband and wife in many previous lives or by will of heaven. For instance, the person who has to become our husband/wife or person with whom we have a special relationship in order to be fulfilled, is the key of life. If we meet them in the wrong time or not meet them at all and we don’t have awareness or intelligence to manage the situation, the gift of life that we should receive can turn to be a misery. Since we had so many relationships in past lives, in this life “repeated bupphesanniwat” or overlapping bupphesanniwat can happen. It means that one man had been married to someone before he met the true bupphesanniwat. In this case, it can result in love affair problem and it can’t be the reason to have many wives in this life as well. In addition, it is not be accepted by Thai culture and social. So we must have awareness and find a way out by adapting and managing our life to be related to old karma. For example, if we meet bupphesanniwat after getting married, the best way out is that you should be a kind friend (Kanlayanamit) to him/her.
4.      Destiny
How much complicated the destiny is, depends on how many lives we have been born and how much good and bad deeds we have collected. Understanding karma from meditation is the key to unlock many life puzzles. When we know the reason why we have to associate with someone, we can react to him/her properly and concordantly to that karma. It is like a “clue” that you have to find out to be able to ease up life problems. We can manage our own destiny by using first three steps of karmic mechanism which are the wheel of fortune, the condition, bupphesanniwat to reach the life prize otherwise a great misery. In contrast, we cannot gain the life prize or great misery, if we cannot manage the destiny right and properly. It depends on one’s capability of management.
5.      Law of karma(time condition)
As the Buddha said “time has no return”, so does everything in our life. If it is not the right time, the effect of all deeds, good or bad, according to karmic law will not be happened yet. It will wait for the right show time.
6.      Life prize or great misery
considering all big karma we have made, good and bad, we can see that it is countless. When someone receives all the good merit, it can be said that one receive “life prize”. On the contrary, when someone receives all the bad deeds, his/her life will abruptly be in a tough time, it can be said that he/she is punished by “great misery”. The point is everyone has both life prize and great misery but in different way, depending on what he/she has done before. The question that we should ask ourselves is “what do we want, life prize or great misery?” and “how do we do to get the maximum life prize with minimal great misery?”
 
When social is adulterated; desire and lust are supported by business that does not concern about morality. Teenagers became the main target group as far as marketing is concerned. This makes teenagers far from dharma and life problem-solving based on Buddhism. On the other hand, one who is interested in studying Dharma in this IT age is thought to be old-fashion. Lacking of awareness or good leader makes people are also lack of the right practice. Therefore, supporting meditation practice has been hardly ever cared about. Nowadays, we know only making merit by object but are not interested in studying Dharma such as The Noble Eightfold Path, The Four Noble Truth, The ten ways of making merit or making merit matching to karma that we did in the past life. Nowadays, making merit almost totally changes the Buddhism image. The Noble Truth that Buddha gave and wishes everyone follow through has only three things which are “making good deeds, refrain from bad deeds and have a kind heart”. We have to abstain from all desire, lust and attachment in order to follow through the Buddha’s path to reach the Nirvana. “Right concentration”(Sammasamadhi) is one of the Noble Eightfold Path that we should practice to get through. Studying Dhamma and sharing Dhamma to others are the best giving in Buddhism which is beyond all other giving in the world. The hardest giving is forgiving, though. Some people say that teenagers who are interested in Dhamma are old-fashion. Others say that Dhamma can be learnt when you are old. Actually, if we can practice the meditation long enough to get through the karma base, we will not marry the wrong man/woman like choosing the man/woman who is used to be the enemy of previous life, marrying the one who have the condition with us before we meet the truth Bupphesanniwat, or, worse than that, we will have so many affections with many women/men that result in repeated Bupphesanniwat which leads to love affair problem, life problem, family problem and chaos as we can see in our social. Being kind and forgiving to all humans and livings in this world are the beginning of the great reducing complex of destiny as equal as reducing knots in our life.